Wednesday, February 27, 2013

The Avengers ถ่ายที่ไหนกันแน่


ไหนๆก็พูดถึงเรื่อง VFX ขอเอาเบื้องหลัง VFX ของเรื่อง The Avengers หนึ่งในภาพยนต์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้า ครั้งที่ 85 นี้ แต่พลาดท่าเสียทีให้กับ Life of Pi  เรามาดูกันดีกว่าครับว่า หนังที่สร้างรายได้มหาศาล (ลงทุนก็มหาศาล)  นั้นเขาทำกันยังไง

เกือบจะทุกฉากที่ท่านเห็นว่าเป็น นิวยอร์ก จริงๆแล้วนั้น เป็นนิวยอร์ก ในคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมดครับ ใจผมก็แอบเชียร์เรื่องนี้เหมือนกันตอนออสก้า แต่ก็ต้องยอมรับ แหละครับว่า Life of Pi เขาเจ๋งจริง



ภาพยนต์เรื่อง The Avengers นั้น บริษัทหลักที่ทำ VFX ให้ก็คือ Industrial Light & Magic หรือ ILM ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Lucusfilm ของ จอร์จ ลูคัส เจ้าพ่อ สตาร์วอร์ นั่นเอง ซึ่งในตอนนี้ได้ขายบริษัท ทั้งหมดไปอยู่ภายใต้การดูแลของ Disney แล้ว ต่อไปคงต้องมาชมกันว่าจะมี เรื่องไหนออกมาให้เราตะลึงกัน ต่อไป


Tuesday, February 26, 2013

รางวัลออสก้า สาขา visual effect ดราม่าที่แสนจะเจ็บปวด


รางวัลออสก้าครั้งที่ 85 สาขา Visual Effect ปีนี้ตกเป็นของ ภาพยนต์เรื่อง Life of Pi แถมด้วยรางวัล Best Original Score, Best Cinematography และ Best Directing รวม 4 รางวัล นับว่าเป็นภาพยนต์ที่ได้รับรางวัลออสก้ามากที่สุดในปีนี้ แต่เบื้องหลังความสำเร็จอย่างสูงสุดของภาพยนต์เรื่องนี้ กลับเป็น ความเจ็บปวดรวดร้าว อย่างใหญ่หลวง ของวงการ Visual Effect ใน อเมริกา

บริษัทที่อยู่เบื้องหลังภาพยนต์เรื่อง Life of Pi คือ Rhythm & Hues Studios ได้ถูกฟ้องล้มละลายไปเมื่อประมาณสองสัปดาห์ ก่อนการประกาศรางวัลออสก้า เป็นข่าวที่ดังครึกโครม ในวงการ VFX ในอเมริกา บริษัทมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1000 กว่าคน อาจจะต้องปิดตัวแล้ว พนักงานในบริษัทอาจจะถูกลอยแพ (ตอนนี้ทางบริษัทกำลังต่อสู้ เพื่อที่จะเปิดทำการต่อไป) ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ยังไม่พอ ในงานประกาศรางวัล พนักงานและ บุคคลที่อยู่ในสาขาวิชานี้เกือบ 400 คนรวมตัวกันประท้วงอย่างเงียบๆ ที่หน้าสถานที่จัดงาน (แถวๆพรมแดง นั่นแหละ) แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าไรนัก


ยังครับ ยังไม่หมด เท่านั้นยังไม่พอ เหล่า ผู้กำกับ (Ang Lee) Best Directing และ ผู้กำกับภาพ (Claudio Mirand) Best Cinematography ที่ขึ้นไปรับรางวัลบนเวที เอ่ย ขอบคุณเหล่าญาติสนิท มิตรสหาย มากมาย แต่ มิได้เอ่ยปากขอบคุณ หรือ แม้แต่เอ่ยถึงบริษัท Rhythm & Hues ผู้อยู่เบื้องหลัง เลยแม้แต่นิดเดียว ลำพัง ภาพต่างๆที่ทุกท่านได้เห็นว่าสวยงาม ก็ถ่ายใน สตูดิโอ แล้วที่เหลือ เป็น CG ( Rhythm & Hues ขึ้นชื่อเรื่อง Animal CG specialist) ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเสือตัวเอก ของเรื่อง โลมายักษ์ ท้องทะเลยามคำคืนที่มีแพลงตอนเรืองแสงที่สวยงาม ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของ พนักงานร้อยกว่าชีวิตในบริษัททั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ฝ่าย design, vfx artist, Engineer และอื่นๆ

ยิ่งกว่านั้นไม่รู้ว่าจะเป็นความผิดของผู้จัดงาน ไม่รู้ว่าจงใจหรือบังเอิญ ในขณะที่ Bill Westenhofer (ตัวแทนขึ้นรับรางวันสาขา Visual Effect) กล่าวขอบคุณบรรดาผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน และในขณะที่กำลังกล่าวถึง บริษัท Rhythm & Hues ก็ได้มี sound effect จากภาพยนต์เรื่อง JAW เข้ามา แล้วไมค์ก็ได้ถูกตัดไป

“Sadly, Rhythm & Hues is suffering serious financial difficulties now. … I urge you all to remember …”

ถ้าได้ดูจะเห็นว่าพี่แกยังพูดไม่จบเลย (มีคนจับเวลาพี่แกพูดทั้งหมด 43 วินาทีแล้วโดนตัด) ในขณะที่ Ang Lee ได้พูด เกือบ 3 นาทีตอนขึ้นรับรางวัล

เหล่าผู้ที่ทำงาน VFX ทั้งหลายจึงรวมตัวกัน ประท้วงด้วยการเปลี่ยนรูป Profile Picture เป็นสีเขียว (Green Screen) โดยหวังว่าจะได้รับการตอบกลับจากทางผู้สร้างและผู้กำกับ

ผมเข้าใจครับว่าของแบบนี้มีทุกวงการ ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก แต่อย่างน้อยคำขอบคุณ หรือ การแสดงความเห็นใจ ผู้ที่ร่วมสร้างสรรค์ ในความสำเร็จของงานนั้นๆ น่าจะทำให้เขาเหล่านั้นมีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่ดี ออกมาได้อีกในภายภาคหน้า หนังไม่สามารถสำเร็จได้ด้วย ผู้กำกับ หรือ คนเพียงคนเดียวนะครับ


ดู ประวัติและเบื้องหลังการสร้าง สุดยอด Visual Effect ของ Rhythm & Hues ได้จาก ลิงค์นี้ครับ

CGI Animal Kingdom of R+H

ปล. ในนั้นมี link ไปจดหมายเปิดผนึกที่ compositor เขียนถึง Ang Lee ด้วย

แถมครับเผื่อใครอยากดู trailer ของหนังที่ได้รับออสก้าทั้งหมด ครับ ตาม link นี้เลยครับ==>

Oscar Winner Trailer


ดูแล้วจะอูู้หู เมื่อไรหนังไทยจะทำแบบนี้บ้างนะ







Wednesday, December 5, 2012

Chromebook คืออะไร มินิ รีวิว ( review Chromebook )



สวัสดีครับ ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยอดการจำหน่าย laptop ของเว๊ป Amazon.com ตัวนึงที่เรียกว่า HOT ติดลม ไม่รู้ว่าเพราะมีของจำหน่ายน้อยหรือว่าขายดีมากๆ ตัวนึง คือ Google Chromebook หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อหรือ อาจจะเคยได้ยินแต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันมีข้อดีข้อเสียยังไง วันนี้ผมจะพาไปชมกันครับ

Google Chromebook คือ laptop ที่ Google สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้ internet browser เป็นหลัก ในหลักการที่ว่า ทุกวันนี้ชีวิตคนเราโดยมากเปิดคอมพิวเตอร์ที่บ้านขึ้นมาเพื่อทำอะไร (ยกเว้นทำงานกับโปรแกรมต่างๆ) ผู้คนส่วนมาก เช็คอีเมล์ เฟสบุ๊ค Twitter ดู youtube ดูหนัง ฟังเพลง พิมพ์ word (ใช้ google doc แทน office) ดังนั้นจะไม่ดีกว่าหรอถ้าเราเปิด คอมแล้ว ตรงไปที่ web browser ได้เลยภายในไม่กีวินาที ไม่ต้องเสียเวลา บูทเครื่อง เรียกว่า อินเตอร์เน็ทพร้อมใช้ โดยที่ตัว Operating System หรือ OS จะแตกต่างกับ laptop โดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เช่น PC มากับ window Apple Mac มากับ OS x แต่เจ้า Chromebook นั้นจะมากับ google chrome browser เท่านั้น


เจ้า โครมบุ๊ค จาก กูเกิ้ล ตัวนี้ผลิตโดย Samsung ครับ เป็นรุ่นที่สอง หลังจากที่รุ่นแรก จำหน่ายใน ราคา เกือบ $500 แต่เจ้าตัวนี้กลับมีราคาเพียง $249 เท่านั้น แต่ด้วยราคาที่ลดลงเกือบครึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างก็ถูกลดลง แต่สเป็กโดยรวม น่าสนใจทีเดียวครับ Samsung Chromebook series 3 มาพร้อมกับ หน่วยประมวลผล( CPU) dual-core Exynos 5200 1.7Ghz ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่อยู่ใน บรรดา tablet และ smart phone รุ่นใหม่ๆนั่นเอง แรม (RAM) ที่ให้มาก็ 2Gb และ Solid State Drive 16Gb หน้าจอ 11.6 นิ้ว ความละเอียด 1366x768 pixels หน้าจอเป็นแบบ low-glare matte ไม่สะท้อนแสงเมื่อใช้งานกลางแจ้ง กล้อง web cam ความคมชัดระดับ VGA สัดส่วนตัวเครื่อง 11.4 x 8.09 x 0.69  นิ้ว หนักเพียง 1.1 กิโลเท่านั้น ถ้าไม่เห็นภาพว่าเล็กและเบาขนาดไหน นึกถึง Macbook Air ตัว 11.6 นิ้วครับ สัดส่วนน้ำหนักเกือบจะเหมือนกัน



พอร์ทเชื่อมต่อรองรับ ทั้ง (จากซ้ายไปขวา) USB 3.0 , USB 2.0 และ ช่องต่อ HDMI  กับ ช่องสำหรับ Charger อย่างละ 1 ช่อง ตรงบานพับด้านซ้ายสุด เป็นที่สำหรับใส่ sim card สำหรับเชื่่อมต่อ internet แต่ราคาเครื่องจะเพิ่มเป็น $329



พร้อมกับ ช่องเสียบ SD card และ Combo mic/headphone แถมยังรองรับทั้ง Bluetooth และ wifi a/b/g/n อีกด้วย



คีย์บอร์ดและแทรกแพ็ด เป็นรุ่น สมัยนิยม chiclet สไตล์


ด้านหลังมากับ ลำโพงสองตัว ซ้ายขวา เสียงที่ออกมาคุณภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ให้เสียงที่ดังพอสมควร แบตเตอรี่สามรถใช้ได้เกิน 6.5 ชั่วโมง ผมใช้จริงได้ 6ชั่วโมง นิดๆเท่านั้น ตัวเครื่องมีช่องระบายความร้อน เพราะ Google บอกว่ามันไม่ร้อนครับ จริงๆแล้วหลังจากใช้มาสักพัก ผมว่ามันอุ่นๆ มากกว่าครับ ไม่ร้อนเหมือน laptop ทั่วไป

หลังจากที่ผมคลุกคลีกับเจ้า Chromebook ด้วยการใช้งานอย่างหนัก (ประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวัน) ผมค่อนข้างประทับใจเจ้า Chromebook เดี๋ยวผมจะมาบอกข้อดีข้อเสียนะครับ 

 Chromebook เหมาะกับใคร เหมาะกับเราหรือเปล่า
         
                       ในความคิดเห็นของผม ผมว่าเจ้า Chromebook เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการเครื่องคอมสำรอง นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ใช้ internet เป็นหลักเวลาเปิดคอม ผู้ที่ใช้ Google ecosystem ( Gmail , youtube, google doc, Chrome , Google +  , Carender และอื่่นๆ) สามารถใช้เป็น ออนไลน์ video call ( Google Hangout ) เป็นประจำ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่ใช้ Software ต่างๆเช่น photoshop หรือ โปรแกรมอื่นๆเป็นต้น 

แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อมาเพื่อใช้เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหลัก เพราะ ข้อจำกัดที่ค่อนข้างเยอะเวลาไม่มีสัญญาณ อินเตอร์เน็ท (wifi, 3G) ด้วยความที่ OS นั้นไม่เหมือนของคนอื่นเลยทำให้ Chromebook ไม่สามรถลงโปรแกรมอะไรได้เลย ฉะนั้นถ้าท่านต้องใช้ โปรแกรมภายนอก เช่น photoshop , Video editing software หรืออื่นๆ จะไม่สามารถทำได้เลย

Chromebook มีอะไรดีอีกนอกจาก web browser

                       สำหรับผู้ที่ซื้อ Chromebook จะได้ 100 GB ฟรี Google drive (cloud storage) 2ปี สำหรับเก็บข้อมูลออนไลน์ นอกจากนั้น ยังมี web application (ถ้าท่านใช้ Chrome Browser) ท่านสามารถ โหลด แอพเหล่านี้มาใช้ได้ เช่น Evernote , Tweetdeck , Angrybird และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้แล้วถ้าท่าน ใช้ Chrome Browser อยู่เป็นประจำทุกอย่างที่ท่านทำใน Browser จะไปปรากฏที่ Chromebook ด้วย เช่น bookmark, history, application 



OFFLINE เวลาไม่มีสัญญาณ internet ล่ะ

                       ดูหนัง ฟังเพลง ดูรูป ได้ครับ สามารถใส่เพลงใน usb หรือ sdcard แล้วเปิดได้แต่ อาจจะไม่รองรับทุกไฟล์นะครับ เช่น mkv หรือ raw picture นั้นไม่สามารถเปิดได้

                      ถ่ายโอนข้อมูลระหว่าง SDcard to USB สามารถทำได้ครับ บางทีผมถ่ายรูปมาเม็มจะเต็มก็มา copy จาก SDcard ไปไว้ที่ USB drive ได้เลย

                      พิมพ์ word ล่ะ google มากับ offline Apps เช่น Google Doc , Gmail  สามารถพิมพ์แล้วเก็บไว้เมื่อท่านมี สัญญาณ internet เครื่องจะทำการ upload ไปเก็บใน Cloud อันตโนมัติ  แล้วพิมพ์ไทยได้หรือเปล่า เคยมีคนรีวิวรุ่น ก่อนหน้านี้ บอกว่าพิมพ์ได้แต่เครื่องที่ผมได้มานี้ ยังมีปัญหาเรื่องการพิมพ์ภาษาไทย โดย สระที่อยู่ด้านบนและด้านล่างจะไม่สามารถ พิมพ์ได้ แต่ผมได้แจ้งทาง Google ไปแล้ว คงต้องรอดูผลกันต่อไป

Tablet ก็ทำได้นิ

                     ผมชอบเวลาพิมพ์ อะไรบนคีย์บอร์ดมากกว่าทัชสกรีน มากๆครับ ให้ความรู้สึกที่ดี และพิมพ์ง่ายกว่ากันเยอะ บางคนบอก ก็ต่อ Bluetooth keyboard กับ Tablet สิ แต่ด้วยความที่ เวลาเปิดเว๊ป เจ้า Chromebook ก็พาท่านไปยัง เว๊ปแบบเต็มรูปแบบทันที ไม่ต้องผ่าน mobile web ซึ่งผมชอบตรงนี้มาก และอีกประการครับ ด้วยราคาขนาดนี้ ผม่ว่า ไม่สามารถซื้อ tablet + Bluetooth keyboard  ได้แน่นอนครับ


สมรรถนะ ของตัวเครื่อง
                    
                      สำหรับ Exynos ชิพเซ็ทของ Samsung Chromebook ตัวนี้ผมถือว่าทำได้น่าประทับใจ เมื่อเทียบกับราคา (ผมไม่เทียบกับ intel หรือ Amd) นะครับ การเปิดเครื่อง ใช้เวลาไม่เกิน 8-9 วินาทีเท่านั้น โหลดหน้าเว๊ป รวดเร็ว แต่อาจจะติดเวลา เราเลื่อนขึ้นลงเพราะ render ไม่ทัน บางเว๊ปที่มี ข้อมูลเยอะๆ อาจจะช้าลงได้ เปิดหลาย tab ถ้าไม่เปิด พร้อมกันสัก 10 tab ก็ไม่ค่อยมีปัญหา



 เปิด youtube 1080p สบายครับ อาจจะติดช่วงแรกนิดหน่อย หลังจากนั้นลื่่นดี แต่ถ้าเปิดหลาย tab อาจจะมีอาการ เสียงไปก่อนภาพได้บางครั้ง กล้อง webcam ห่วยบรม ครับ ภาพที่ได้ ผมว่าแย่ พอๆกับ iPod touch รุ่นเก่า ภาพ กระตุกไม่คมชัด อย่างยิ่ง แต่ก็ยังดีที่ติดมาให้ คีย์บอร์ดกับ แทรกแพ็ดทำงานได้ดีมาก
ข้อเสียที่ผมพบ บางทีอาจจะมี plugin not response แต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อยครับ

                     หลังจากคลุกคลีกับเจ้า Chromebook มากว่าสองสัปดาห์ ผมให้ 8.5 เต็ม 10 ถ้าเปรียบเทียบกับ Tablet (full function keyboard พิมพ์อย่างมันส์ เปิด full experience website) หรือ laptop (เบากว่า เข้าถึงเว๊ปได้เร็วกว่า ไม่มีไวรัสกวนใจ มี cloud drive แถม) ส่วนเรื่อง เม็มน้อย จอไม่ full HD แล้ว Hard disk เพียง 16 Gb กับ ทำอะไรไม่ค่อยได้เวลาไม่มี internet นั้นเป็นเรื่องรองสำหรับผมครับ ลองถามตัวเองดูเหมือน เวลา laptop ตัด DVD/CD drive ออกไปคุณเดือดร้อนมากแค่ไหน Chromebook ก็เหมือนกันครับ ตัดเวลาลงโปรแกรมออกไป คุณเดือดร้อนมากแค่ไหน...สำหรับผม ผมว่าคุ้มครับ







Tuesday, April 3, 2012

Instragram สำหรับ Android ( รีวิว หรือ บ่น )

ตั้งแต่ตัดสินใจไม่หยิบ iPhone 4s แต่เลือก Samsung Galaxy S2 มาแทน Instragram เป็นหนึ่งใน Application ที่ผมคาดหวังว่าจะได้ใช้มากที่สุด เพราะผมชอบถ่ายรูปเล่นๆ จากมือถือ แต่งภาพง่ายๆ แล้วก็ Upload ขึ้น Facebook & Twitter ผมชอบ Instragram ตรงที่มันเหมือน เป็น Community ของนักถ่ายภาพ หรือ เรียกว่า Gallery ที่รวมภาพสวยๆ อาร์ทๆ เท่ๆ จากคนอื่นเยอะมากก (แค่นั่งดูเล่นๆก็เพลินแล้ว) อีกอย่างนึงก็คือ การทำให้ภาพเบลอบางส่วน เพียงแค่ เลือกว่าจะให้ตรงไหนชัด หรือเบลอ แล้วก็ใช้นิ้วลากปรับขนาด แค่นี้คุณก็สร้างสรรค์ภาพถ่ายเท่ๆ ของคุณได้แล้ว และผมคิดว่า สอง อันนี้คือ จุดขายหลักของ Instragram เลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ผมใช้ Instragram ผ่านทาง iPhone 3g แล้วก็ iPod Touch ผมมาเปลี่ยนเป็น Samsung Galaxy S2 เมื่อปลายปีที่แล้วอาจจะไม่กี่เดือนกว่าเจ้า App ตัวนี้จะออก(สำหรับบางคนคงเป็นปี) ระหว่างที่รอเจ้า Instragram ผมก็ลองใช้ App สำหรับถ่ายรูปของ Android หลายตัวเลยที่เดียว ที่โดนๆ ตา ถูกๆใจก็ Pixlr-o-matic , Litlle Photo, Paper Camera เรียกได้ว่าผมลืม เจ้า Instragram ไปเลยทีเดียว แต่ผมก็ยังคิดถึงเจ้า Gallery ใน Instragram อยู่ดี จนในที่สุด หลังจากรอคอยมาแสนนาน (สำหรับบางคน) วันนี้มันมาให้ DownLoad แล้วครับ

พอโหลดมาเสร็จผมไม่รีรอครับกดเข้ามาเจอหน้าจอให้ Sign up or Login พอผ่านไปเราก็จะเจอกับหน้า Feed (แท๊ปแรกรูป บ้าน) เราสามารถ เลื่อนลงไปดูว่าเพื่อนๆเราคนไหนที่เรา Follow เขา โพสรูปอะไรบ้าง สามารถกด หัวใจ (Like) หรือ คอมเม้นท์ ภาพได้


หน้าต่อมาที่เป็นรูป ดาว (Gallery) อันนี้จะรวมภาพที่เก๋ๆ เท่ๆ คนชอบเยอะๆมารวมไว้ให้เอง ดูเพลินกันเลยทีเดียว 

ต่อมาเป็นแท๊ปรูปกล้อง อันนี้เอาไว้ใช้ถ่ายภาพหรือ Upload จากภาพที่มีอยู่แล้วในเครื่องเรา


แต่หน้าเสียดายครับผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะ Instragram for Android ยังไม่สมบูรณ์หรือว่า เป็นที่เครื่องของผม ผมไม่สามารถเปิดรูปจาก Screen Capture ได้ มันบอกว่าภาพ เล็กเกินไป ซึ่งต่างจาก iOS เพราะผม Capture Screen แล้วก็โพสประจำ

แต่สำหรับรูปอื่นๆ ที่มาจากกล้องโทรสับแล้วไม่มีปัญหาครับ พอเลือกรูป ก็จะให้ ลากสี่จุดเพื่่อปรับขนาด (ส่วนมากจะติดที่ สี่เหลี่ยมจัตุรัส) อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อเสียของ Instragram แต่สำหรับผมไม่มีปัญหาครับในข้อนี้

 จากนั้น เราก็มาปรับแต่ภาพตามที่เราต้องการครับ ด้านล่างจะมีชือ Preset ต่างๆ ส่วนด้านบน จะมีให้ปรับ แท๊ปอันแรก สี่เหลี่ยม คือ กรอบขาวจะเอาหรือไม่เอา แท๊ปต่อมารูปพระอาทิตย์ กดเลือกเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับภาพ แท๊ปที่สาม เอาไว้ หมุนภาพ ครับ ส่วนแท๊ปสุดท้าย คือเอาไว้ไปหน้าต่อไป
 ภาพด้านล่างคือภาพที่กดตรงแท๊ป พระอาทิตย์ ครับ จะเห็นได้ว่า สีแดงข้างล่างภาพ สว่างขึ้นมาเยอะทีเดียว

และตรงนี้คือสิ่งที่ผม ไม่ชอบที่สุดสำหรับเจ้า Instragram สำหรับ Android ก็คือ ตัวที่เอาไว้ปรับ จุดชัด-เบลอ ซึ่งมีใน iOS หายไป เจ้าตัวนี้ถือเป็น พระเอกของ Instragram นี้ซึ่งไม่มีใน App อื่นเลยกลับหายไป จะบอกว่าที่รอก็รอไอ้ตัวนี้แหละ


 พอกดเจ้าลูกศรสองอัน เราก็จะมาเจอกับหน้านี้ครับ คุณสามารถ ใส่ชื่อ (Caption) เลือกที่จะให้ โชว์ พิกัดของเราได้ เราจะ โพส ไปที่ Twitter , Facebook, Foursquare หรือ Tumblr ก็ได้ ซึ่งใน Facebook มันจะสร้าง Folder รูปชื่อ Instragram ให้เองเลย

แท๊ปต่อมาเป็นรูป หัวใจในคำพูด (News) ก็เป็นเหมือน Notification ใน Facebook ครับ แต่จะแบ่งเป็น สอง แท๊ปย่อย 1 คือ Following จะคอยรายงานว่า เพื่อนของคุณ ไปกด Like ที่ภาพอะไรบ้าง เริ่ม Follow ใครบ้าง 

 แท๊ปย่อยต่อมาคือ You ครับ ก็เป็น Notification ที่รายงานว่ามีอะไรเกียวกับเรา ใคร มากด Like หรือมา Comment แล้วใครบ้างที่มา Join instragram หรือ ใครที่มา Follow คุณ


แท๊ปสุดท้ายก็คือ Profile ซึ่งจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับ ตัว User ครับว่า มีภาพอัพโหลดไปแล้วกี่ภาพ มีคนตามกี่คน ไปตามคนอื่นกี่คน แล้วภาพก็ดูได้สองแบบ คือ แบบ แถวเรียง 1 (ลิสท์) กับ เรียง 4 (กริด) ครับ 



สรุป ดีใจที่มี Instragram สำหรับ Android สักที เท่าที่ลองเล่นมาสักพัก พบว่ายังมี บัก อยู่บ้างสำหรับข้อดีนะครับ 
1. อินเตอร์เฟส ใช้ง่าย ทำงานค่อนข้างเร็ว
2. เพิ่ม แท๊ปพระอาทิตย์ (เพิ่มความสว่าง) ให้กับภาพซึ่งไม่มีใน iOs
3.มาให้ใช้สักที แล ที่สำคัญ ฟรี

ส่วนข้อเสียนะครับ

1. ในหน้า News บางทีก็โหลด บางทีก็ไม่โหลด กด refresh ก็ไม่ได้
2.ภาพที่ Capture จากหน้าจอโทรศัพท์ ไม่สามารถใช้ได้ เพราะภาพเล็กเกินไป (ไม่แน่ใจว่าเป็นกับทุกรุ่นหรือเปล่านะครับ)
3. ไม่มีตัวปรับจุด ชัด-เบลอเหมือนใน iOS (อันนี้เสียหายมาก)

ขอให้เพลิดเพลินกับ Instragram ครับ



Wednesday, March 14, 2012

30 ขั้นตอนง่ายๆ ลง OS X Lion ในคอม

บทที่ 4...ลุย แฮคอินทอช

สำหรับคนที่เริ่มต้นอ่านบทนี้กรุณาอ่าน 3 บทแรกเพื่อทำความเข้าใจก่อนนะครับ โดยทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่รับผิดชอบและ รับรองความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้น ผมไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะทำสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ถ้าทำนอกเหนือจากเครื่องมือที่ผมได้ใช้และจากข้อมูลที่ผมมี

บทนี้ค่อนข้างสำคัญ ขอให้อ่าน และทำความเข้าใจก่อนหลายๆรอบก่อนที่จะลงมือทำนะครับ ผมจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ คือ โหลดโปรแกรมที่จำเป็น เตรียมเครื่องคอม และ การลงโปรแกรม โดยจะมีภาพแล้วก็จะมี วีดีโอ เพื่อขยายความเข้าใจนะครับ รับรองไม่หลงทาง มาเริ่มกันเลยดีกว่า ถ้าการลง OS X ไม่เป็นไปตามที่ผมแนะนำหรือเกิดปัญหา ให้ลองตั้งสติ ไล่อ่านทบทวน ที่ละขั้นตอนว่าเราข้ามตรงไหนหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ข้ามขั้นตอนใดๆ สามารถส่งคำถามมาถามผมได้หรือ ท่านสามารถ หาข้อมูลได้จาก tonymacx86.com ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรความรู้ Hackintosh อย่างดีครับ


โหลดโปรแกรมที่จำเป็น แนะนำให้ทำในเครื่อง Mac นะครับ


ดู วีดีโอ ขั้นตอนการทำได้ที่นี่ครับ ดูประกอบการทำไปได้ครับ แต่แนะนำให้อ่านให้เข้าใจก่อนนะครับ



1. Download UniBeast และ MultiBeast 4.2.1 : Lion Edition กดตรงนี้ (ท่านต้องสมัครสมาชิกเว๊ปนี้ด้วยนะครับ ฟรี ครับ)

2. Download DSTS database กดที่นี่ ขั้นตอนนี้ท่านต้องเลือกให้ตรงกับ ยี่ห้อ Motherboard รุ่น และ Firmware ของเราครับ การดูว่า FW รุ่นไหนนั้น บอร์ด ส่วนมากจะโชว์ตอน บูทเครื่อง ครับ หรือถ้าเครื่องมี window ให้ไปที่ Start > run > พิมพ์ msinfo32 ครับ


3.สำกรับคนที่จะใช้ Adobe แนะนำให้โหลด nVidia CUDA driver กดเบาๆ คนที่ไม่ได้ใช้สามารถลงไว้ไม่เสียหายครับ

4.ดาว์นโหลด OSX Lion จาก App store หรือ ซื้อ แบบที่เป็น USB thumb drive (ขั้นตอนต่อจากนี้ส่วนมากผมจะพูดถึงเฉพาะ ที่โหลดมา นะครับ)
    4.1 วิธีนี้สำหรับคนที่ลง Lion ในเครื่อง Mac อยู่แล้วให้ทำ ตามการ re-download Lion โดย
    4.2 ไปที่ App Store
    4.3 กดปุ่ม Option ค้างไว้ เลือก "Purchases" tab
    4.4 กดปุ่ม Option ค้างไว้ เลือก OSX Lion จากตอนแรก ที่ App ขึ้นว่า installed จะเปลี่ยนเป็น install
    4.5 จากนั้นกด Option ค้างไว้ เลือก Install เครื่องจะทำการ Download OSX Lion มาไว้ที่ Application ย้ำว่าต้องให้ OSX Lion อยู่ที่ Application นะครับไม่งั้นจะใช้ไม่ได้

5.ทำให้ USB ของเราเป็น ไดร์ฟ ที่สามารถ โหลดได้ (Bootable)
   5.1 ต่อ USB  เข้ากับ เครื่องแมค
   5.2 ไปที่ spotlight พิมพ์ disk utility
   5.3 เลือก USB ของเราที่ด้านซ้าย 
   5.4 เลือก  tab partition
   

5.5 ตรง current เลือก 1 Partition

 5.6 เลือก Options
 5.7 เลือก Master Boot Record
5.8 จะใส่ชื่อ USB หรือไม่ก็ได้ครับตามสะดวก
5.9 ตรง Format: ให้เลือกเป็น Mac OS Extended (Journaled)


5.10 กด Apply ได้เลยครับ

6. ขั้นตอนต่อไปคือการลง OSx Lion แต่ Lion ต้องอยู่ใน Application (หรือ Launchpad) ก่อนนะครับโดยเราจะลงมันเข้าไปใน USB drive ของเรา โดย เสียบ USB เข้ากับเครื่องเรา รัน เจ้า UniBeast ที่เราโหลดมาจากขั้นตอนที่ 1 เลือก continue ไปเรื่อยๆ จนถึงให้เลือก Destination ก็ให้เลือกเป็น USB



จากนั้นให้เราเลือกอันที่หนึ่ง Mac App Store "install Mac OS X Lion"
(ถ้าท่านมี USB Lion ที่ซื้อมาจากร้านของ Apple ให้เลือกอันที่สอง)
กด continue ใส่ password แล้วก็รอ


ขั้นตอนนี้อาจจะใช้เวลานานถึงครึ่งชั่วโมงนะครับไม่ต้องตกใจ ของผมหน้าจอโชว์ 3 ชม. แต่เอาเข้าจริงๆไม่ถึงครับ

7. พอเสร็จเราก็ เอาทั้งหมด ( MultiBeast-Lion Edition, DSDT and CUDA driver) ใส่เข้าไปใน USB ของเรา
8. จากนั้นเราก็มาที่เครื่อง ประกอบ ของเราได้เลยครับ ให้เรา ติดตั้ง โดยเสียบ 1 จอ 1 Hard drive 1 PCI-E นะครับ (เราค่อยมาใส่เพิ่มที่หลัง หลังจากลงเสร็จได้)

9. เปิดคอม เข้าไปที่ Bios ถ้าเป็น mainboard ของ Gigabyte ให้กด Del รัวๆ หลังจากกดสวิทช์เปิด คอมจะพาท่านไปสู่หน้าจอสีฟ้าๆ ครับ

10. ใช้ keyboard ในการเลือก (ตรงนี้ผมจะอธิบายสำหรับคนที่เลือก Mainboard Gigabyte นะครับ)
ไปที่ Integrated Peripherals ตรง PCH SATA Control Mode จาก IDE ให้เลือกเป็น AHCI ตรงนี้สำคัญมากนะครับ ถ้าไม่เลือก AHCI ทำไม่ได้ 10000% 


11. จากนั้นไปที่ Advanced BIOS Features ให้ Disabled เจ้า Quick Boot แล้วก็ เปลี่ยน First Boot Device เป็น USB-HDD แล้วก็ กด F10 เลือก เซฟ แล้ว Exit ได้เลยครับ

12. เครื่องจะทำการ reboot แล้วขึ้นหน้าจอตามด้านล่างมา ให้เราเลือก Drive ที่เป็น USB ของเราครับ


13. เครื่องเราก็จะขึ้นหน้าจอให้เราเลือกภาษาครับ แนะนำว่าให้เลือก อังกฤษไปก่อน
14. จากนั้นให้เราไปที่ บนซ้ายของจอ (ตรงนี้เราใช้ Mouse ได้แล้วครับ) เลือก Utility แล้วเลือก Disk Utility
15. ให้เลือก drive ที่เราจะทำการลง OSX อย่าเผลอไปเลือก USB นะครับ
16. เลือก  tab partition
17. ตรง current เลือก 1 Partition .
18. เลือก Options คราวนี้ให้เลือก GUID Partition Method ครับ
19. จะใส่ชื่อ Drive หรือไม่ก็ได้ครับตามสะดวก
20. ตรง Format: ให้เลือกเป็น Mac OS Extended (Journaled)
21. ปิด Disk Utility แล้วเลือก drive ที่จะลง กด Install หนักๆได้เลยครับ แล้วก็รอเครื่องทำการลงโปรแกรม
22. เครื่องจะทำการ restart หลังจากลงโปแกรมเสร็จ ที่นี้ก็จะเจอ หน้าจอคล้ายๆกับ ข้อ 13 แต่ทีนี้ให้เราทำการเลือก drive ที่เราได้ลง OS ไปครับ (ไม่ใช่ USB)
23. แล้วก็จะได้ เลือกภาษา เลือก keyboard เลือกว่าจะ Transfer info. to this mac ไหม หน้าจอสำหรับ Apple ID แล้วก็ register info ทั้งหมดนี้เราสามารถกด continue ผ่านไปได้เรื่อยๆนะครับ ถ้าไม่คิดจะทำ แต่ขั้นตอนสุดท้าย Create your Computer Account ท่านต้องตั้ง Username และ password ครับ

24. พอเสร็จ เปิด Finder เปิด USB นำ file DSDT(.aml)  ที่อยู่ในนั้น ลากออกมาวางไว้ที่ Desktop ย้ำว่า Desktop เท่านั้นนะครับ 
25. จากนั้นเข้าไปที่ folder MultiBeast กด เลือก Mutibeast 4.2.1 แล้วกด continue ไปเรื่อยๆ แล้วให้เลือกตามภาพด้านล่างนะครับ พอเลือกเสร็จ กด continue ใส่ password แล้วกด install



26. พอ install Multibeast success จะมี pop-up Lnx2Mac Realtek driver ขึ้นมาก็ให้เรา กด continue ไปเรื่อยๆ แล้วเลือก RealtekRTL81xx "Release" version เพื่อ install ครับ พอมัน install Successful มันจะให้เรา restart แต่ อย่าพึ่งไปกด restart นะครับ ให้เปิดหน้านี้ค้างไว้ไม่ต้องปิด
27. ให้เรากลับไป run เจ้า multiBeast  อีกครั้ง คราวนี้เลือก แค่ตรง system utilities แล้วกด continue>install 
28. พอ install successful ก็ปิด multibeast แล้ว Eject USB  แล้วถอด USB ออกจากเครื่อง
29. ไปกด Restart ตรงหน้าที่เปิดค้างไว้ได้เลยครับ 
30. เข้าไป BIOS (กด Del ตอนเปิดเครื่อง) เปลี่ยน First Boot Device เป็น HDD ที่เราลง OSx ไว้ครับ


เท่านี้ก็เรียบร้อย ท่านก็จะได้ Hackintosh ที่รันลื่นซะยิ่งกว่า เครื่องที่พี่ steve jobs ทำออกมาซะอีก จากนั้นท่านสามารถลงโปรแกรมทุกอย่างได้ตามปกติเลยครับ 

ถ้าใครทำตามขั้นตอนนี้แล้วพบปัญหาอย่างไรช่วยรบกวนแจ้งผมด้วยนะครับจะได้ทำการปรับเปลี่ยน หรือ ถ้าผมช่วยได้ยินดีนะครับ

credit : ข้อมูลจาก www.tonymacx86.com 










Monday, January 30, 2012

เลือกซื้ออุปกรณ์ให้ Hackintosh

บทที่ 3...อุปกรณ์ที่แนะนำคับ 

ก่อนอื่นเลยต้องบอกให้เข้าใจกันคร่าวๆก่อนว่า ทำไมเราถึงจะประกอบ Hackintosh ได้ เพราะเรา ทำการหลอก bios ว่าเจ้าอุปกรณ์ที่เราใช้เนี่ยมันคือ แมค ดังนั้น เราต้องหาอะไรที่มันมี (คล้ายกับว่ามี) ในเครื่องแมค จริงๆ

1.  Motherboard
    เท่าที่ผมหาข้อมูลมาจากหลายๆที่ ผมสรุปสั้นว่า MB (Motherboard) ของ Gigabyte คือ MB ที่ใช้ทำ Hackintosh ได้ ง่าย และ สะดวกที่สุด ด้วยเกือบจะทุกอย่างสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้การเลือกซื้อก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละคนนะครับ เช่น ต้องการช่องใส่แรมที่รองรับ 16 หรือ 32gb ช่อง PCI-E กี่ช่องจะใส่การ์ดจอกี่ตัว มี USB 3.0 ไหมอะไรแบบนี้ ตัวที่ผมใช้ผมเลือกจากราคาระดับกลาง คือ Gigabyte Z68XP-UD3 ด้วยราคาระดับกลางๆ มี USB 3.0 รองรับ การ์ดจอ สองตัว ใส่แรมได้ 32gb ซึ่งก็เพียงพอต่อความต้องการ และสามรถ ในตอนนี้ผมแนะนำรุ่นที่ เป็น ชิปเซท Z68 นะคับเพราะเป็นรุ่นล่าสุด และราคาก็เริ่มลงแล้ว

2. CPU
    อันนี้แน่นอนครับ Intel Sandy Bridge ด้วยความสามรถและเป็นอุปกรณ์ ที่มีในแครื่อง แมค ดังนั้น ควรจะเป็น i3 i5 i7 gen 2 นะครับ การ overclock นั้น สามารถทำได้ แต่ข้อมูลที่ผมมี คือยังไม่คงที่ หลายท่านทำสำเร็จหลายท่านล้มเหลว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยแนำนำว่าไม่ควร overclock ครับ

3. Harddrive
   ผมคิดว่า HDD นั้นเท่าที่ผมลอง 2-3 รุ่น Seagate 5400rpm , Western Digital 7200rpm และ SSD ของ Patriot ทุกอันสามรถทำ Hackintosh ได้ไม่มีปัญหา สำหรับท่านที่มีงบผมแนะนำ SSD ความจุ 80-120GB นะครับเพราะว่าท่าลงพวก โปรแกรมที่จำเป็นใน SSD แล้วก็หา HD  อีกสักตัวไว้เก็บข้อมูลจะทำให้เครื่องของท่านทำงานได้ลื่นขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเลยทีเดียว

4. RAM
   หลักของการเลือกซื้อ แรม ต้องดูว่า MB ของท่านรองรับ แรมรุ่นไหนบ้าง ของผมใช้  Ripjaw X 8gb (4*2) ซึ่งทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ละยี่ห้อก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ยี่ห้อที่แนะนำ ก็คงจะเป็น Corsair Vengeance Blue ด้วยปัจจุบันราคาแรม ได้ลดลงอย่างมาก ผมแนะนำ ให้ใส่ 8gb ขึ้นไปนะครับ 


5. Video Card
   การเลือกซื้อการ์ดจอ เพื่อทำ Hackintosh นั้น ท่านอาจจะต้องทำการบ้านหนักสักหน่อย ด้วย นอกจาก จะมี 2 ค่ายใหญ่ แล้ว ยังมีอีกนับ 10 ยี่ห้อ แถมยังมี มากกว่า 100 รุ่น ดังนั้น นี่คือคำแนะนำคร่าวๆ สำหรับการเลือกซื้อ การ์ดจอ ถ้าท่านไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้ Adobe Premiere , Adobe After Effect การ์ดจอของ ATI ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าด้วยราคาที่ไม่แพง และ เป็นอุปกรณ์ที่มีอยู่ในเครื่องแมค ดังนั้นจึงไม่ค่อยพบปํญหา กับ การ์ดจอของ ATI ส่วนท่านที่ใช้สองโปรแกรมข้างต้นนั้นผมแนะนำให้เลือกใช้ การ์ดจอของ nVidia เพราะ การ์ดจอของ ​nVidia เท่านั้นที่รองรับ Adobe’s CUDA acceleration (รายละเอียดจะกล่าวถึงในบทต่อๆไป นะครับเพราะยาววววเลยทีเดียว) ผมแนะนำให้ซื้อรุ่นที่เป็น fermi สำหรับผม ใช้ nVidia ยี่ห้อ Galaxy รุ่น GTX-460 768mb สำหรับเรื่องรายละเอียดว่ารุ่นไหนมีข้อดีข้อเสียยังไงแนะนำ ให้ดูจาก GPU data list อันนี้ได้ครับ


6. Case + Power Supply
  สำหรับเคสนั้นท่านสามรถเลือกได้ตามใจชอบเลยครับ แต่สำหรับ Power Supply ผมแนะนำว่าให้เลือกซื้อ 600w ขึ้นไป สำหรับยี่ห้อ นั้นผมแนะนำให้ดูจาก รีวิว และ ความน่าเชื่อถือของยี่ห้อ เพราะว่า Power Supply ก็เป็นหัวใจหลักของการประกอบคอม เลยทีเดียว เพราะถ้าเจ้า PSU เสีย อาจจะมีผลทำให้อุปกรณ์อื่นๆ ในเครื่องพังได้เลยทีเดียว


7.  OS X Lion
   ท่านสามารถซื้อแบบที่เป็น USB ได้จากร้านตัวแทนจำหน่ายหรือ apple.co.th ด้วยราคาไม่แพงมาก ผมแนะนำให้ซื้อของแท้นะครับ ผมยังไม่เคยลองกับโปรแกรมก๊อป แต่ในความคิดผมว่าน่าจะทำได้ หรือคนที่มี แมคอยู่แล้วก็สามารถนำมาใช้กับ Hackintosh ของท่านได้เช่นกัน แต่ผมแนะนำ


8. อื่นๆ
   ท่านสามารถ ใช้ wifi  และ Bluetooth ได้โดยใช้พวกตัวรับสัญญานที่เป็น USB มาใช้ เราสามารถใช้ อุปกรณ์เสริมอของ แมค (คียบอร์ด , Magic Mouse หรือ Magic Trackpad) ได้ผ่าน บลูทูธ นอกจากนี้เรายังสามารถที่จะติดตั้ง Blueray drive  ให้กับ Hackintosh ของเราได้อีกด้วย 


จะเห็นได้ว่า แม้จะมีข้อจำกัดหลายประการในการประกอบ Hackintosh แต่ด้วยของที่ผมใช้ และ/หรือ แนะนำนั้น มีราคา ไม่ได้แตกต่างจากการประกอบคอม แม้แต่น้อย แถมราคาโดยรวมยังถูกกว่า ครึ่งเมื่อเทียบกับ Mac Pro และราคาก็พอๆกับ iMac หรืออาจจะแพงกว่า Mac mini ไม่เท่าไรแต่ ท่านสามารถเลือก อุปกรณ์บางชิ้นที่ดีกว่า แมค แท้ๆ ด้วยซ้ำ 


ผมจะไม่พูดถึงรายละเอียดการประกอบเครื่องนะครับ ในบทต่อไปผมจะพูดถึงขั้นตอนหลังจากประกอบเสร็จ







Thursday, January 26, 2012

เตรีมตัวก่อนประกอบ Hackintosh

บทที่2...สิ่งควรรู้ และ สิ่งที่ต้องมี

สิ่งที่ทุกท่านควรทราบก็คือ การทำ Hackintosh นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราประกอบ คอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่เครื่องนึงแล้วลงโปรแกรมด้วยตัวเอง บางครั้งท่านอาจจะเจอผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามที่ผมบอก หรือ อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ ผมอาจจะโชคดีที่ประกอบครั้งแรกทุกอย่างก็ผ่านฉลุย ทุกอย่างทำงานได้เสมือน ซื้อคอมใหม่ แต่ผมก็เจอปัญหาบ้างเช่น sound card ไม่ทำงาน แต่ไม่นานก็แก้ไขได้สำเร็จ เมื่อก่อนการที่จะทำ Hackintosh นั้นอาจจะยากลำบากสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมอย่างผม แต่ ณ ตอนนี้ มันง่ายพอๆกับการ ลง window เลยหล่ะครับ

ด้วยหลักการแล้ว การที่เราสามารถประกอบเจ้า Hackintosh ขึ้นมาได้นั้นคือ การที่เราใช้ อุปกรณ์ คล้ายกับอุปกรณ์ที่มีใน Apple Product ผมใช้คำว่าคล้ายนะครับไม่ใช่เหมือน ฉนั้น เรามีตัวเลือกค่อนข้างมาก สำหรับ งบประมาณและ ความต้องการ ในสมัยก่อนที่ Apple จะเปลี่ยนมาใช้ intel base cpu นั้นผมว่าการทำ Hackintosh คงเป็นเรื่องยากลำบาก แต่สมัยนี้ cpu ที่อยู่ใน Mac ก็คือ ตัวเดียวกับที่อยู่ใน PC ทั่วไปนั่นแหละครับ ทำให้เราสามารถประกอบมันขึ้นมาได้

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องสิ่งที่คุณต้องมี ก่อนการเลือกซื้ออุปกรณ์กันก่อน

ถ้าคุณไปจ้างร้านคอมประกอบให้ คุณควรจะมีความรู้ในเรื่องของการประกอบคอมผิวเตอร์ (ไม่ต้องเก่งเทพ แค่พอจะถอดสายนู่น ต่อสายนี่เป็น)
ทำไมถึงต้องมีความรู้ในเรื่องการประกอบคอม เพราะ ในตอนแรกที่เราลงโปรแกรมเราควรจะให้คอมเรามีแค่อุปกรณ์หลักเท่านั้น แล้วพอลงเสร็จเราค่อยต่อเพิ่ม (รายะเอียดจะกล่าวในบทต่อๆไป) ทำให้ต้องมีความรู้ในเรื่องนี่้

ความกล้าที่จะเจอกับปัญหาที่คาดไม่ถึง อ้าว แล้วตูจะกล้าทำไหมเนี่ย การทำ Hackintosh เหมือนการขับรถออกถนนใหญ่ครั้งแรกแหละครับ อาจจะดูยากและน่ากลัว แต่จริงๆแล้วถ้าไม่ประมาท มีสติ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เช่นถ้าคุณเจอปัญหา คุณสามารถสอบถามหรือหารายละเอียดได้จาก website ที่ผมจะให้ไว้หรือถ้าผมทราบผมยินดีตอบทุกข้อสงสัยครับ

ถ้าคุณประกอบคอม เป็น สบายยยยยย

ต่อมาอุปกรณ์ยิ่บย่อย ที่คุณควรจะมี

1. USB flash drive ที่มีความจุ 8Gb ขึ้นไป
2. Keyboard + Mouse ที่เป็น USB ย้ำ Usb นะครับ รุ่นเก่าใช้มะได้ (ที่ผมใช้เป็น wireless ก็ไม่มีปัญหานะครับ)
3. Mac OSx Lion อันนี้หลายคนสงสัยว่าเอามาจากไหน ถ้าคุณคิดจะทำ ผมแนะนำให้ซื้อของแท้ ที่เป็น USB ผมไม่แนใจว่าเท่าไรแต่คิดว่า ประมาณ 1,200 บาท เพราะเจ้าตัวนี้มันจะอยู่กับเราไปอีกนาน แต่ถ้าคุณมี Lion อยู่แล้วในเครื่อง Mac  คุณสามารถ นำมันมาลงในเจ้า Hackintosh ได้เช่นกัน(วิธีจะกล่าวในบทต่อๆไป)
4. ไขควงไว้ถอดเคส


บทต่อไป อุปกรณ์ที่ผมใช้ และ แนะนำให้ใช้ครับ....coming soon